กฏหมายพรรคการเมืองตอน2
มาตรา ๓ ให้ยกเลิก
(๑) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑
(๒) ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมุข ฉบับที่ ๑๕ เรื่อง ห้ามพรรคการเมืองประชุมหรือดำเนินกิจการอื่นใดในทางการเมือง ลงวันที่
๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
(๓) ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมุข ฉบับที่ ๒๗ เรื่อง การแก้ไขประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๑๕ ลงวันที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ลงวันที่ ๓๐
กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
(๔) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๑๕ เรื่อง ห้ามพรรคการเมืองประชุมหรือดำเนินกิจการ
อื่นใดในทางการเมือง ลงวันที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ พ.ศ. ๒๕๕๐
(๕) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
พ.ศ. ๒๕๔๑ พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
“พรรคการเมือง” หมายความว่า คณะบุคคลที่รวมกันจัดตั้งเป็นพรรคการเมือง โดยได้รับ
การจดแจ้งการจัดตั้งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของ
ประชาชนตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมุ่งที่จะ
ส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมีการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอื่น
อย่างต่อเนื่อง
“สมาชิก” หมายความว่า สมาชิกพรรคการเมือง
“ที่อยู่” หมายความว่า ที่อยู่ตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
“การบริจาค” หมายความว่า การให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็น
เงินได้แก่พรรคการเมือง เพื่อการดำเนินกิจการของพรรคการเมือง หรือเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง
ของพรรคการเมือง หรือของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนอกเหนือจาก
ค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรคการเมืองตามข้อบังคับพรรคการเมือง
“ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้” หมายความรวมถึง
(๑) การปลดหนี้ หรือการลดหนี้ให้เปล่า
(๒) การให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย
(๓) การเข้าค้ำประกันโดยไม่คิดค่าธรรมเนียม
(๔) การให้ใช้สถานที่ ยานพาหนะ หรือทรัพย์สิน โดยไม่คิดค่าเช่าหรือค่าบริการหรือ
คิดค่าเช่าหรือค่าบริการน้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๕) การให้ใช้บุคลากรซึ่งมิได้เป็นลูกจ้างหรือผู้รับจ้างของพรรคการเมือง โดยพรรค
การเมือง หรือสมาชิกไม่ต้องชำระค่าจ้างหรือสินจ้าง หรือต้องชำระค่าจ้างหรือสินจ้างเพียงบางส่วน
เว้นแต่การเป็นอาสาสมัครนอกเวลาการทำงานโดยปกติของผู้นั้น
(๖) การให้ใช้บริการโดยไม่คิดค่าใช้บริการ หรือคิดค่าใช้บริการน้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น
โดยปกติทางการค้า
(๗) การให้ส่วนลดในสินค้าหรือทรัพย์สินที่จำหน่าย โดยให้ส่วนลดมากกว่าที่ให้กับบุคคลอื่น
โดยปกติทางการค้า
(๘) การให้เดินทางหรือให้ขนส่งบุคคลหรือสิ่งของโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือคิดค่าใช้จ่าย
น้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๙) การจัดเลี้ยง การจัดมหรสพ หรือการบันเทิงอื่นให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือคิดค่าใช้จ่าย
น้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๑๐) การให้บริการวิชาชีพอิสระ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล สถาปนิก วิศวกร
กฎหมาย หรือบัญชี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือคิดค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๑๑) การอื่นซึ่งเป็นการกระทำที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกได้ประโยชน์อื่นใดอันอาจ
คำนวณเป็นเงินได้ หรือไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายซึ่งโดยปกติต้องจ่าย
การดำเนินการตาม (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) หรือ (๑๐) ซึ่งพรรคการเมืองจัดให้แก่สมาชิกและ
มิได้เป็นไปเพื่อการหาเสียงเลือกตั้งให้แก่สมาชิก มิให้ถือว่าเป็นการให้ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณ
เป็นเงินได้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้
“กองทุน” หมายความว่า กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง
“นายทะเบียน” หมายความว่า นายทะเบียนพรรคการเมือง
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552
พรรคการเมืองที่ถูกยุบ
การเพิกถอนสิทธิทางการเมือง ของกรรมการพรรคการเมือง
โดย สุทธิ นิชโรจน์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลแขวงนนทบุรี
บทความนี้เป็นความเห็นเฉพาะตัวของผู้เขียนไม่ผูกพันผู้ใดต้องเห็นตามด้วย
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้เริ่มอ่านคำวินิจฉัยกลางเวลา 13.30 นาฬิกา จนจบคำวินิจฉัยกลางเวลาประมาณ 24.50 นาฬิกา
คำวินิจฉัยกลางนี้ถือว่ามีความยาวที่สุดในโลกก็ว่าได้มีความละเอียดมาก คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามที่ผู้ร้องได้กล่าวหาและตามข้อต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหาทั้งห้าพรรคการเมืองตามลำดับขั้นตอนแห่งข้อกล่าวหาและข้อต่อสู้ของแต่ละพรรคการเมืองชี้ประเด็นให้เห็นถึงการกระทำต่างๆ ที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายของพรรคการเมืองทั้งห้าพรรคสมเหตุผล หาข้อตำหนิในคำวินิจฉัยกลางไม่ได้เลย
ประชาชนชาวไทยไม่ต่ำกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ และชาวต่างประเทศซึ่งได้รับฟังคำวินิจฉัยกลางของตุลาการรัฐธรรมนูญทางโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง ตลอดจนมีหนังสือพิมพ์บางฉบับได้ลงคำวินิจฉัยกลางเอาไว้คงจะทราบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายซึ่งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเรื่องยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของพรรคการเมือง 4 พรรคการเมือง และไม่ได้ยุบพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ยกคำร้องของผู้ร้องเป็นอย่างดี
ต่อไปจะกล่าวถึงเรื่องการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการพรรคการเมืองตามหัวข้อ
ปัญหาแรกการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นโทษหรือไม่ข้อนี้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 บัญญัติว่า โทษสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิดมีดังนี้
1.ประหารชีวิต
2.จำคุก
3.กักขัง
4.ปรับ
5.ริบทรัพย์สิน
นอกจากโทษดังกล่าวก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายฉบับใดบัญญัติไว้ว่า การเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นโทษทางอาญา
ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับ คมช.มาตรา 27 วรรค 3 ที่บัญญัติความสรุปว่า เมื่อมีการยุบพรรคการเมืองใด ให้เพิกถอนสิทธิทางการเมืองของพรรคการเมืองที่ถูกยุบมีกำหนดเวลา 5 ปี พฤติการณ์ของพรรคการเมือง 4 พรรค คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยถึงเหตุต้องยุบพรรคการเมืองทั้ง 4 พรรค และเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการพรรคการเมืองทั้ง 4 พรรคเป็นเวลา 5 ปี ไว้อย่างละเอียดไม่ต้องกล่าวซ้ำอีก
เมื่อการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการพรรคการเมืองที่ถูกยุบตามคำวินิจฉัยกลางของตุลาการรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่โทษทางอาญาความมาตรา 18 จะถือว่าเป็นความผิดอะไร
ผู้เขียนเห็นว่ามีลักษณะเป็น "การทำโทษทางการเมือง" หากเพียงแค่ยุบพรรคการเมืองอย่างเดียวกรรมการพรรคการเมืองยังอยู่อย่างเดิมย่อมไม่เกิดผลอะไรเลย
พรรคการเมืองที่ถูกตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคดังกล่าวสามารถไปจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ได้อาจจะใช้ชื่อเดิม กรรมการพรรคชุดเดิม หรือใช้ชื่อเดิมไม่ได้ ก็ใช้ชื่อใหม่เพราะกรรมการพรรคยังอยู่
สําหรับการยุบพรรคการเมืองขณะนี้ กกต.ยังมีความเห็นแตกต่างกันว่าพรรคการเมืองที่ถูกยุบแล้วจะใช้ชื่อเดิมได้แต่อีกฝ่ายเห็นว่าใช้ชื่อเดิมไม่ได้สับสนกันไปหมด
นอกจากนี้พรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลจะไปเพิกถอนสิทธิทางการเมืองแก่ตัวพรรคการเมืองได้อย่างไร จะต้องทำโทษกรรมการของพรรคการเมืองที่ถูกยุบ ซึ่งถือว่าเป็นผู้แทนของพรรคการเมือง แม้จะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของกรรมการพรรคการเมืองบางคนแต่เห็นได้ว่าเพื่อเป็นประโยชน์แก่พรรคการเมืองนั้น บรรดากรรมการพรรคการเมืองที่ถูกยุบต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด
ฉะนั้นเมื่อการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการพรรคการเมือง 4 พรรค เป็นการทำโทษมิใช่ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 ที่กล่าวมา รัฐธรรมนูญฉบับ คมช.มาตรา 27 วรรค 3 ก็ไม่มีผลย้อนหลังตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า "บุคคลจะต้องรับโทษทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะทำการนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย"
ถ้ามีกรณีที่ คมช.ได้ยกเลิกมาตรา 27 ทั้งหมดหรือรัฐธรรมนูญฉบับ คมช.ได้ยกเลิกไป โดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังร่างกันอยู่ การเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของพรรค 4 พรรคก็ยังถูกเพิกถอนจนครบกำหนด 5 ปี นับแต่ตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
มิได้เป็นดังที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 วรรคสอง บัญญัติว่า "ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติภายหลังการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไปให้ผู้ที่ได้กระทำความผิดนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด ถ้าได้มีพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ-แล้วก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้โทษนั้นสิ้นสุดลง"
ยิ่งกว่านั้นจากประสบการณ์ของผู้เขียน เห็นว่า การอภัยโทษหรือขอนิรโทษกรรมนั้น ศาลต้องลงโทษจำคุกผู้นั้นแล้วจึงขอพระราชทานอภัยโทษหรือขอนิรโทษกรรมอันมีผลต่างกันโดยการอภัยโทษทำเป็นพระราชกฤษฎีกา ส่วนนิรโทษกรรมต้องทำเป็นพระราชบัญญัติ เพราะมีผลให้พ้นจากการกระทำความผิดและถือไม่เคยถูกจำคุกมาก่อน
เคยมีพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมผู้มีชื่อท่านหนึ่งถูกจำคุกในข้อหาหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกขั้นต่ำ 3 ปี ผู้มีชื่อท่านนั้นถูกจำคุกประมาณ 3 เดือนจึงได้รับพระเมตตาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมให้ผู้มีชื่อท่านนั้น
จึงเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดจะต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาของศาลแล้ว
ส่วน 4 พรรคการเมืองจะดำเนินการอย่างไรจะตีความการเพิกถอนสิทธิการเมืองเป็นประการใด รัฐบาล คมช.และสภานิติบัญญัติจะเห็นอย่างไรเป็นเรื่องความเห็นส่วนตัวมีสิทธิแสดงความเห็นได้ทั้งในทางลบและในทางบวกเกี่ยวกับการที่ตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกลางในเรื่องการยุบพรรคการเมืองหรือไม่ยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการพรรคการเมือง 4 พรรคที่ถูกยุบ
สุดท้ายนี้ผู้เขียนเห็นด้วยกับ อาจารย์จรัญ ภักดีธนากุล ว่าควรบัญญัติการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของกรรมการพรรคการเมืองที่ถูกยุบไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังร่างอยู่จะหมดปัญหาไป
ข้อมูลจากมติชน วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10686
โดย สุทธิ นิชโรจน์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลแขวงนนทบุรี
บทความนี้เป็นความเห็นเฉพาะตัวของผู้เขียนไม่ผูกพันผู้ใดต้องเห็นตามด้วย
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้เริ่มอ่านคำวินิจฉัยกลางเวลา 13.30 นาฬิกา จนจบคำวินิจฉัยกลางเวลาประมาณ 24.50 นาฬิกา
คำวินิจฉัยกลางนี้ถือว่ามีความยาวที่สุดในโลกก็ว่าได้มีความละเอียดมาก คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามที่ผู้ร้องได้กล่าวหาและตามข้อต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหาทั้งห้าพรรคการเมืองตามลำดับขั้นตอนแห่งข้อกล่าวหาและข้อต่อสู้ของแต่ละพรรคการเมืองชี้ประเด็นให้เห็นถึงการกระทำต่างๆ ที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายของพรรคการเมืองทั้งห้าพรรคสมเหตุผล หาข้อตำหนิในคำวินิจฉัยกลางไม่ได้เลย
ประชาชนชาวไทยไม่ต่ำกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ และชาวต่างประเทศซึ่งได้รับฟังคำวินิจฉัยกลางของตุลาการรัฐธรรมนูญทางโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง ตลอดจนมีหนังสือพิมพ์บางฉบับได้ลงคำวินิจฉัยกลางเอาไว้คงจะทราบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายซึ่งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเรื่องยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของพรรคการเมือง 4 พรรคการเมือง และไม่ได้ยุบพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ยกคำร้องของผู้ร้องเป็นอย่างดี
ต่อไปจะกล่าวถึงเรื่องการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการพรรคการเมืองตามหัวข้อ
ปัญหาแรกการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นโทษหรือไม่ข้อนี้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 บัญญัติว่า โทษสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิดมีดังนี้
1.ประหารชีวิต
2.จำคุก
3.กักขัง
4.ปรับ
5.ริบทรัพย์สิน
นอกจากโทษดังกล่าวก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายฉบับใดบัญญัติไว้ว่า การเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นโทษทางอาญา
ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับ คมช.มาตรา 27 วรรค 3 ที่บัญญัติความสรุปว่า เมื่อมีการยุบพรรคการเมืองใด ให้เพิกถอนสิทธิทางการเมืองของพรรคการเมืองที่ถูกยุบมีกำหนดเวลา 5 ปี พฤติการณ์ของพรรคการเมือง 4 พรรค คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยถึงเหตุต้องยุบพรรคการเมืองทั้ง 4 พรรค และเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการพรรคการเมืองทั้ง 4 พรรคเป็นเวลา 5 ปี ไว้อย่างละเอียดไม่ต้องกล่าวซ้ำอีก
เมื่อการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการพรรคการเมืองที่ถูกยุบตามคำวินิจฉัยกลางของตุลาการรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่โทษทางอาญาความมาตรา 18 จะถือว่าเป็นความผิดอะไร
ผู้เขียนเห็นว่ามีลักษณะเป็น "การทำโทษทางการเมือง" หากเพียงแค่ยุบพรรคการเมืองอย่างเดียวกรรมการพรรคการเมืองยังอยู่อย่างเดิมย่อมไม่เกิดผลอะไรเลย
พรรคการเมืองที่ถูกตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคดังกล่าวสามารถไปจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ได้อาจจะใช้ชื่อเดิม กรรมการพรรคชุดเดิม หรือใช้ชื่อเดิมไม่ได้ ก็ใช้ชื่อใหม่เพราะกรรมการพรรคยังอยู่
สําหรับการยุบพรรคการเมืองขณะนี้ กกต.ยังมีความเห็นแตกต่างกันว่าพรรคการเมืองที่ถูกยุบแล้วจะใช้ชื่อเดิมได้แต่อีกฝ่ายเห็นว่าใช้ชื่อเดิมไม่ได้สับสนกันไปหมด
นอกจากนี้พรรคการเมืองเป็นนิติบุคคลจะไปเพิกถอนสิทธิทางการเมืองแก่ตัวพรรคการเมืองได้อย่างไร จะต้องทำโทษกรรมการของพรรคการเมืองที่ถูกยุบ ซึ่งถือว่าเป็นผู้แทนของพรรคการเมือง แม้จะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของกรรมการพรรคการเมืองบางคนแต่เห็นได้ว่าเพื่อเป็นประโยชน์แก่พรรคการเมืองนั้น บรรดากรรมการพรรคการเมืองที่ถูกยุบต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด
ฉะนั้นเมื่อการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการพรรคการเมือง 4 พรรค เป็นการทำโทษมิใช่ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 ที่กล่าวมา รัฐธรรมนูญฉบับ คมช.มาตรา 27 วรรค 3 ก็ไม่มีผลย้อนหลังตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า "บุคคลจะต้องรับโทษทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะทำการนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย"
ถ้ามีกรณีที่ คมช.ได้ยกเลิกมาตรา 27 ทั้งหมดหรือรัฐธรรมนูญฉบับ คมช.ได้ยกเลิกไป โดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังร่างกันอยู่ การเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของพรรค 4 พรรคก็ยังถูกเพิกถอนจนครบกำหนด 5 ปี นับแต่ตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
มิได้เป็นดังที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 วรรคสอง บัญญัติว่า "ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติภายหลังการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไปให้ผู้ที่ได้กระทำความผิดนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด ถ้าได้มีพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ-แล้วก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้โทษนั้นสิ้นสุดลง"
ยิ่งกว่านั้นจากประสบการณ์ของผู้เขียน เห็นว่า การอภัยโทษหรือขอนิรโทษกรรมนั้น ศาลต้องลงโทษจำคุกผู้นั้นแล้วจึงขอพระราชทานอภัยโทษหรือขอนิรโทษกรรมอันมีผลต่างกันโดยการอภัยโทษทำเป็นพระราชกฤษฎีกา ส่วนนิรโทษกรรมต้องทำเป็นพระราชบัญญัติ เพราะมีผลให้พ้นจากการกระทำความผิดและถือไม่เคยถูกจำคุกมาก่อน
เคยมีพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมผู้มีชื่อท่านหนึ่งถูกจำคุกในข้อหาหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกขั้นต่ำ 3 ปี ผู้มีชื่อท่านนั้นถูกจำคุกประมาณ 3 เดือนจึงได้รับพระเมตตาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมให้ผู้มีชื่อท่านนั้น
จึงเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดจะต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาของศาลแล้ว
ส่วน 4 พรรคการเมืองจะดำเนินการอย่างไรจะตีความการเพิกถอนสิทธิการเมืองเป็นประการใด รัฐบาล คมช.และสภานิติบัญญัติจะเห็นอย่างไรเป็นเรื่องความเห็นส่วนตัวมีสิทธิแสดงความเห็นได้ทั้งในทางลบและในทางบวกเกี่ยวกับการที่ตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกลางในเรื่องการยุบพรรคการเมืองหรือไม่ยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการพรรคการเมือง 4 พรรคที่ถูกยุบ
สุดท้ายนี้ผู้เขียนเห็นด้วยกับ อาจารย์จรัญ ภักดีธนากุล ว่าควรบัญญัติการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของกรรมการพรรคการเมืองที่ถูกยุบไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังร่างอยู่จะหมดปัญหาไป
ข้อมูลจากมติชน วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10686
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)